1Alxegore

The Way to Success

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) : อัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น (Interpersonal Intelligence)

อัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น (Interpersonal Intelligence)

ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น (Interpersonal Intelligence)
ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น (Interpersonal Intelligence) 

อัจฉริยภาพด้านนี้เกี่ยวข้องการดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม อาจจะเป็นบิดา มารดา ญาติพี่น้อง เพื่อน เจ้านาย ลูกน้อง หรือคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลยก็ได้ อัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่ต้องการจะประสบความสำเร็จในชีวิตเนื่องจากมันเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถกำหนดอนาคตของเราได้ ถ้าเรามีอัจฉริยภาพด้านนี้สูงเราก็จะมีหน้าที่การงานที่ดี เจริญก้าวหน้าได้ตำแหน่งสูงๆ มีชีวิตคู่อย่างมีความสุข ในทางกลับกัน หากเรามีอัจฉริยภาพด้านนี้ต่ำเราก็จะล้มเหลวในหน้าที่การงาน เจ้านายไม่พอใจจนอาจถูกไล่ออกได้ หากแต่งงานก็ไม่มีสามารถปรับตัวเข้าหากันได้จนต้องหย่าร้าง ความสุขส่วนใหญ่ของมนุษย์แปรผันตามอัจฉริยภาพด้านนี้ พวกเราจึงควรพัฒนาอัจฉริยภาพด้านนี้เพื่อความสำเร็จและความสุขของชีวิต

บุคคลที่มีอัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น จะเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงเป็นจำนวนมากและหลายกลุ่ม สามารถโน้มน้าวใจคนอื่นได้ดี เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของคนรอบข้าง เพราะพวกเขามีทักษะในการ "ฟัง" ที่ดี การฟังของบุคคลเหล่านี้ ไม่ได้เป็นการฟังเพื่อหาคำตอบ ไม่ได้เป็นการฟังเพื่อตอบโต้ ไม่ได้เป็นการฟังเพื่อความสนุกสนาน แต่เป็นการฟังเพื่อให้เข้าใจถึงอารมณ์ของผู้พูด ข้อมูลที่ต้องการจะสื่อ ความรู้สึกที่พูดสิ่งเหล่านั้น ซึ่งการฟังแบบนี้จะทำให้พวกเขาเข้าใจผู้อื่น มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและสามารถโน้มน้าวใจผู้อื่นให้เป็นไปตามที่ตนต้องการได้ เพราะคนที่มีอัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่นจะรู้ว่าคนอื่นต้องการอะไร ชอบอะไรและไม่ชอบอะไรนั่นเอง

หลักการในการพัฒนาอัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น ประกอบด้วย สามารถรับรู้ถึงอารมณ์ ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นได้, แก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างบุคคลได้โดยจบลงแบบได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายและ สามาถสร้างและรักษาไว้ซึ่งมิตรภาพระหว่างเพื่อนได้ วิธีการพัฒนาอัจฉริยภาพ ด้านนี้ได้แก่
>>เริ่มต้นการสนทนากับบุคคลแปลกหน้า อาจจะเป็นคนที่รอซื้ออาหารด้วยกัน คนที่นั่งที่นั่งติดกันบนเครื่องบินก็ได้
>>ฝึกฝนการฟังแบบ เข้าใจถึงอารมณ์ ความรู้สึกและความต้องการของผู้พูด
>>เรียนรู้อารมณ์และความรู้สึกของบุคคลอื่นๆจากสีหน้าท่าทางของเขา
>>นั่งลงมองการใช้ชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆให้เราและทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นด้วย
>>เรียนรู้หลักการพูดโน้มน้าวใจคน ให้ได้เป้าหมายที่เราต้องการโดยทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์

บุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น ได้แก่ จอห์น เอฟ. เคเนดี้ (John F. Kennedy) ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ที่มีผลงานโดดเด่นในการบริหารประเทศแม้จะมีการตัดสินใจที่ผิดพลาดบ้างก็ตาม มีผู้กล่าวว่าการสนทนากับจอห์น เอฟ. เคเนดี้ จะรู้สึกเหมือนว่าเราสำคัญที่สุดสำหรับเขาและรู้สึกว่าสิ่งที่เราพูดสำคัญกับชีวิตของเขามาก ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เขาได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา, มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi) เป็นผู้นำการชุมนุมด้วยสันติภาพที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมีผู้นำไปเป็นแนวทางปฏิบัติจำนวนมาก เมื่อทหารอังกฤษได้สังหารผู้คนที่มาร่วมชุมนุม คานธีกลับไม่ให้ผู้ชุมนุมตอบโต้ ซึ่งในภายหลังอินเดียได้รับอิสรภาพคืนจากอังกฤษ

อาชีพที่เหมาะสมกับคนที่มีอัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่นได้แก่ นักการเมือง ผู้บริหาร นักจิตวิทยานักสังคมสงเคราะห์ เซลล์ขายของ ครู ฯลฯ

Special Thank แนวคิด: หนังสืออัจฉริยะสร้างได้ ของ หนูดี วนิษา เรซ

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) : อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)

อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)

ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)
ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)

อัจฉริยภาพด้านนี้ เกี่ยวข้องกับการทำความรู้จักตัวตนของเรานั่นเอง (เป้าหมายของชีวิตเราคืออะไร ข้อดี ข้อเสียของเราคืออะไร เราควรพัฒนาตัวเองอย่างไร ฯลฯ) การทำความเข้าใจในตนเองนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากเรามีอัจฉริยภาพในด้านอื่นๆอย่างเหลือล้น พูดได้ 30 ภาษา, เล่นกีฬาเก่ง, ผลการเรียนเป็นเลิศ แต่ขาดอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเองก็ไม่ประสบความสำเร็จในการดำรงชีวิต จะมีชีวิตที่ล้มเหลว ไม่มีความสุขในการดำรงชีวิต ใช้ชีวิตด้วยความเครียด หรือฆ่าตัวตายเหมือนกับตัวอย่างที่เห็นได้ตามหนังสือพิมพ์ มีบุคคลมากมายที่มีหน้าที่การงานระดับผู้บริหารแต่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้จนลูกน้องต่างพากันกลัว คนกลุ่มนี้น่าสงสารมากเพราะพวกเขารู้ทุกอย่างแต่ไม่รู้จัก "ตนเอง" เพราะฉะนั้นพวกเราควรพัฒนาอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเองซึ่งสำคัญเป็นอันดับต้นๆของอัจฉริยภาพทั้งหมดเลยทีเดียว

บุคคลที่มีอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง จะเป็นคนที่รู้จักตัวตนของพวกเขาเองเป็นอย่างดี คนเหล่านั้นสามารถบอกได้ว่า เป้าหมายของชีวิตเขาคืออะไร อาชีพในฝันของเขาคืออะไร สามารถระบุได้ว่าจุดเด่นอะไรบ้างที่เขามีแต่คนอื่นไม่มี สามารถรับรู้ได้ว่าเขามีข้อบกพร่องอะไรบ้างที่ควรรีบปรับปรุง บุคคลเหล่านี้จะมีความมั่นใจในตัวเองสูง สามารถอยู่กับตัวเองตามลำพังได้อย่างมีความสุข สามารถรับรู้อารมณ์-ความรู้สึกของตัวเองได้ดีและใส่ใจในการดูแลตัวเองเป็นอย่างมาก หลายคนเข้าใจผิดว่าคนกลุ่มนี้ชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆคนเดียว มีมนุษยสัมพันธ์ต่ำ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนกลุ่มนี้มีเพื่อนเยอะ มีความสัมพันธ์อันดีกับบุคคลอื่นๆ เนื่องจากคนที่มีอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเองจะเป็นคนที่มีวุฒิภาวะสูงและสามารถควบคุมตัวเองได้ดี

หลักการในการพัฒนาอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง ประกอบด้วย รู้เป้าหมายของชีวิตตนเอง, มีความรู้และความเข้าใจในตนเอง (ความสามารถต่างๆ ข้อดี ข้อเสีย นิสัย สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ ฯลฯ) และสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการพัฒนาอัจฉริยภาพ ด้านนี้ได้แก่
>>ทบทวนชีวิตในวันนี้ของเราว่า ทำอะไรไปบ้าง ส่งผลกระทบอย่างไร และในอนาคตจะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อย่างไร
>>วิเคราะห์และเขียนเป้าหมายของชีวิต จุดเด่น จุดด้อยของเราโดยอาจให้บุคคลอื่นมาช่วยดูด้วยก็ได้
>>วางแผนเส้นทางสู่เป้าหมายของชีวิตโดยแบ่งเป็นวิธีการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
>>เขียนบันทึกเรื่องราวของตัวเองตั้งแต่ในอดีต โดยหยิบมาเฉพาะช่วงเวลาสำคัญที่ส่งผลกระทบให้เรามีชีวิตอย่างในทุกวันนี้ อาจเขียนเป็นแบบชีวประวัติก็ได้
>>ตั้งสติ ดูอารมณ์ของตนเองตลอดเวลา เพื่อให้สามารถเข้าใจตนเองได้ง่ายขึ้น
>>ลองทำแบบทดสอบวิเคราห์ ลักษณะ,นิสัย,บุคลิก ฯลฯ ซึ่งหาได้ในโลกออนไลน์ทั่วไป
>>ฝึกอยู่กับตัวเองดูบ้าง ลองอยู่บ้านคนเดียวเงียบๆซัก 15 นาทีโดยไม่มีเทคโนโลยีใดๆ ไม่ทำกิจกรรมอะไรทั้งสิ้น อยู่กับความคิดของตัวเอง จะทำให้สามารถเข้าใจตัวเองเพิ่มได้อย่างมากเลยทีเดียว


บุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านการเข้าใจตนเอง ได้แก่ ขงจื๊อ(孔子) นักปรัชญาชื่อดังชาวจีน ผู้ให้กำเนิดลัทธิขงจื๊อ คำสอนของเขามีอิทธิพลต่อแนวคิดของชาวจีนเป็นอย่างมาก คำสอนของขงจื๊อเกี่ยวข้องกับหลักการปกครองอย่างมีศีลธรรมและสอนเกี่ยวกับการดำรงชีวิต เช่น "ตำหนิตนเองให้มาก ตำหนิผู้อื่นให้น้อย ก็จะไม่มีความโกรธแค้น"เพลโต(Plato) นักปรัชญาในยุคกรีก งานของเขาส่วนใหญ่จะเป็น บทสนทนา คำคมและจดหมาย หลักปรัชญาของเพลโตนับว่าเป็นรากฐานของความคิดของชาวยุโรปถึงกับมีคำพูดที่ว่า "แนวคิดหลักทางปรัชญาของยุโรป ล้วนแต่เป็นเชิงอรรถของเพลโต", และอัลเบิร์ต แบนดูรา(Albert Bandura) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม มีชื่อเสียงจากการเป็นผู้คิดค้นหลักการเกี่ยวกับการเรียนรู้จากการดูต้นแบบ

อาชีพที่เหมาะสมกับคนที่มีอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง ได้แก่ นักปรัชญา นักจิตวิทยา เป็นต้น

Special Thank แนวคิด: หนังสืออัจฉริยะสร้างได้ ของ หนูดี วนิษา เรซ

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) : อัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence)

อัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical  Intelligence) 

ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical  Intelligence)
ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical  Intelligence)

คณิตศาสตร์เป็นราชินีของวิทยาศาสตร์ เป็นพื้นฐานของทุกวิชา การมีอยู่ของคณิตศาสตร์ช่วยผลักดันโลกให้ก้าวหน้าได้อย่างมหาศาล อย่างไรก็ตามอัจฉริยภาพด้านนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงตรรกศาสตร์หรือการนำข้อมูลมาคิดวิเคราะห์หาเหตุผลต่างๆเพื่อตัดสินใจนั่นเอง อัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์นับว่าจำเป็นสำหรับทุกคนเป็นอย่างมาก ถ้าประชาชนของสังคมใดไม่มีอัจฉริยภาพด้านนี้แล้วบ้านเมืองจะวุ่นวายเป็นอย่างมาก เนื่องจากแต่ละคนจะตัดสินใจตามความเชื่อผิดๆของเขา ต่างจากสังคมที่มีอัจฉริยภาพด้านนี้ ประชาชนจะนำข้อมูลที่ได้รับจากสื่อต่างๆเช่นโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ มาคิดวิเคราะห์จะได้เหตุผลต่างๆเพื่อประกอบการตัดสินใจ

บุคคลที่มีอัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ จะเป็นคนช่างสงสัย ชอบศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม มีการตัดสินใจตามเหตุผลมากกว่าตามใจตัวเอง มีทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ดี ชอบสิ่งที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้แต่มีคำตอบตามหลักการที่มีเหตุผลอย่างแน่นอน ชอบการละเล่นที่ต้องใช้การวางแผนเช่นหมากรุก หมากล้อม มีความสามารถในการคิดคำนวณอย่างรวดเร็วและจำข้อมูลที่เป็นตัวเลขได้ สามารถคาดเดาโดยใช้เหตุผลได้อย่างแม่นยำ

หลักการในการพัฒนาอัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ คือ พัฒนาทักษะการทำงานด้านตัวเลขเช่น การบวก ลบ คูณ หาร การหาสถิติในแบบต่างๆ, พัฒนาทักษะการให้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์โดยใช้เหตุผลประกอบ และการนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย การสังเกต(Observation) การตั้งคำถาม(Question) การตั้งสมมุติฐาน(Prediction) ทำการทดลอง(Experiment) และสรุปผลการทดลอง(Conclusion) วิธีการพัฒนาอัจฉริยภาพ ด้านนี้ได้แก่
>> ฝึกการคิดคำนวณในชีวิตประจำวันโดยไม่ใช้เครื่องคิดเลข จะทำให้เราคิดคำนวณได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น
>> เล่นเกมที่ต้องใช้การวางแผนและการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลเช่น หมากรุก หมากฮอส หมากหนีบ หมากล้อม 
>> อ่านข่าวทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ บทวิเคราะห์เกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ จะช่วยเปิดมุมมองและแรงบันดาลใจใหม่ๆให้เรา
>> อ่านข่าวจากหลายๆสื่อ นำมาคิดวิเคราะห์หาข้อเท็จจริงจากข้อมูลนั้นๆ โดยไม่เข้าข้างตัวเอง
>> วางแผนการทำงานต่างๆให้มีระบบ เช่นงานสัมมนาว่าต้องทำอะไรบ้าง เตรียมอุปกรณ์อะไรไว้
>> คิดตามดูว่าการตัดสินใจของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มาจากเหตุผลอะไรและเขามีหลักการคิดอย่างไร

บุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ได้แก่ โยฮันน์ คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ (Johann Carl Friedrich Gauß) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน เป็นหนึ่งในสี่ตำนานนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับฉายา Prince of Mathematics เกาส์เป็นผู้คิดทฤษฎีทางคณิตศาสตร์หลายๆทฤษฎีเช่น ทฤษฎีบทหลักมูลเลขคณิต, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่ามีความอัจฉริยะมากที่สุดในโลก เป็นผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพซึ่งผลักดันให้วงการวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าเห็นอย่างมาก และ เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) นักคณิตศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ มีผลงานที่สำคัญคือกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน การค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก และแคลคูลัสซึ่งเป็นคณิตศาสตร์ขั้นสูงอีกด้วย

อาชีพที่เหมาะสมกับคนที่มีอัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ได้แก่ นักวิจัย นักวิทยาศาตร์ นักคณิตศาสตร์ แพทย์ วิศวกร นักวิชาการ ฯลฯ

Special Thank แนวคิด: หนังสืออัจฉริยะสร้างได้ ของ หนูดี วนิษา เรซ


วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) : อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ (Visual-Spatial Intelligence)

อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ (Visual-Spatial Intelligence)


ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ (Visual-Spatial Intelligence)
ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ (Visual-Spatial Intelligence)

"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" (Imagination is more important than knowledge.) -- อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องว่ามีอัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์มากที่สุดในโลก

ทุกคนคงเคยได้ยินประโยคดังกล่าวนี้มาแล้ว และสงสัยว่าทำไมคนที่เก่งวิทยาศาสตร์ถึงกล่าวเช่นนี้? จินตนาการเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวของทุกคนอยู่แล้ว และเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ ความรู้ทั้งหลายบนโลกนี้ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากจินตนาการของเรา แม้แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็ยังต้องอาศัยการจินตนาการก่อนถึงจะเกิดการทดลองนำซึ่งไปสู่องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ จินตนาการเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อโลกใบนี้เป็นอย่างมาก หากขาดจินตนาการมนุษย์เราคงใช้ชีวิตเหมือนสมัยยุคหิน เพราะเทคโนโลยีต่างๆที่เราใช้ก็เกิดจากจินตนาการเช่นกัน หากขาดมันไปเราคงไม่มี เครื่องบิน หลอดไฟ ไอโฟน ฯลฯ อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพจึงนับว่าสำคัญมากถึงมากที่สุดเลยทีเดียว

บุคคลที่มีอัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ จะเป็นคนที่สามารถจดจำเป็นภาพได้ เมื่อเวลาทำกิจกรรมใดๆเขาจะสามารถจินตนาการเห็นภาพเหตุการณ์อยู่ในหัวก่อนแล้วอย่างชัดเจน มีความสามารถในการออกแบบ จัดสิ่งของอย่างยอดเยี่ยมจนทุกคนให้คำชื่นชม มีความสามารถด้านศิลปะเช่น สามารถวาดรูปได้อย่างสวยงามเป็นต้น และชอบเล่นเกมจำพวก จิ๊กซอร์ ตัวต่อเลโก้ เขาวงกต ฯลฯ

หลักการในการพัฒนาอัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ คือ พัฒนาทักษะการมองด้วยตาให้เก็บรายละเอียดได้อย่างครบถ้วน มีความชัดเจน, ทำให้งานที่ทำเป็นศิลปะมากขึ้นจากการเพิ่มภาพ สี เส้น เป็นต้น, พัฒนาทักษะการจัดวางและการใช้พื้นที่ ซ้าย ขวา บน ล่าง และพัฒนาจินตนาการให้มีลายละเอียดกับความชัดเจนเพิ่มขึ้น วิธีการพัฒนาอัจฉริยภาพด้านนี้ได้แก่ 
>> จดข้อความด้วย Mind mapping และควรใช้ปากกาหลากสีในการจดด้วย เมื่ออ่านชีทหรือหนังสือควรมีปากกาเน้นข้อความไว้ใช้ สำหรับใจความสำคัญ
>> ฝึกทักษะในการวาดภาพ โดยเฉพาะการวาดวงกลมเพราะเป็นรูปร่างที่ต้องใช้ฝีมือในการวาดเป็นอย่างมาก อาจลองวาดจากวงเล็กๆ พยายามวาดให้กลมที่สุดแล้วขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นจึงหัดวาดภาพให้หลากหลายเช่น ภาพวิว ภาพเสมือน ภาพสเก็ต ฯลฯ
>> จัดโต๊ะ จัดห้อง จัดบ้านใหม่ ให้เรียบร้อยตามแบบของเรา เป็นการฝึกบริหารพื้นที่ให้สวยงามและเกิดประโยชน์ด้วย
>> ฝึกจินตนาการก่อนทำกิจกรรมต่างๆ ให้เห็นภาพก่อนล่วงหน้าทำให้เรามีอัจฉริยภาพด้านนี้สูงขึ้น และทำให้เราทำกิจกรรมได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
>> ฝึกจำด้วยภาพ หาความเชื่อมโยงของแต่ละสิ่ง ดูภาพยนตร์และงานศิลปะ

บุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ ได้แก่ ปาโปล ปีกัสโซ (Pablo Picasso) จิตรกรเอกของโลกชาวสเปนซึ่งได้รับการยกย่องว่าสร้างสรรค์ผลงานได้เก่งที่สุดใน คริสต์ศตวรรษที่ 20 มีผลงานที่แพงที่สุดในโลกคือ ภาพวาด “Nude, Green Leaves, and Bust” ที่มีมูลค่าสูงถึง 106.5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ, เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) จิตรกรชาวอิตาลี ผู้วาดภาพ โมนาลิซ่า (Monalisa) อันโด่งดังและ ไมเคิล แอนเจโล (Michael Angelo) ผู้แกะสลักประติมากรรมหินอ่อน เดวิด (David) ซึ่งมีขนาดใหญ่และงดงามเป็นอย่างมาก

อาชีพที่เหมาะสมกับคนที่มีอัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ ได้แก่ จิตรกร ศิลปิน ช่างแกะสลัก สถาปนิก ดีไซเนอร์ นักออกแบบ มัณฑนากร เป็นต้น

Special Thank แนวคิด: หนังสืออัจฉริยะสร้างได้ ของ หนูดี วนิษา เรซ

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) : อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence)

อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence)


ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence)
ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence)

ใครๆก็อยากดูดี ดูเท่ในสายตาของคนอื่น อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหวเป็นอัจฉริยภาพที่ทุกคนมีอยู่ในตัวเองแล้ว อัจฉริยภาพด้านนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการขยับร่างกาย และการเคลื่อนไหวร่างกายของเรา หลายๆคนมีความคิดว่าสมองกับร่างกายทำงานแยกกัน แต่แท้จริงแล้วสมองกับร่างกายเรา เกี่ยวข้องกันโดยตรง สารเคมีต่างๆที่หลั่งออกมาจากสมอง ส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกาย และเมื่อขยับร่างกายก็จะส่งผลต่อการหลั่งสารเคมีของสมอง อาจกล่าวได้ว่าสมองและร่างกายเป็นสิ่งเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหวจึงนับว่าเป็นประโยชน์กับทุกคน และทุกคนควรพัฒนาอัจฉริยภาพด้านนี้ให้ดี

บุคคลที่มีอัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว สังเกตได้จากการที่สมองของเขาจะทำงานได้มีประสิทธิภาพสูง เมื่อได้เคลื่อนไหวของร่างกาย เช่นบางคนอาจจะรู้สึกว่าตัวเองสมองแล่นมากตอนกำลังตีแบดมินตันอยู่ และคนที่มีอัจฉริยภาพด้านนี้จะเคลื่อนไหวร่างกายได้ ทรงพลัง งดงาม มีความสามารถด้านกีฬาสูง ทำงานที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวได้ดี เช่น บังคับเครื่องจักร งานก่อสร้าง งานช่าง เป็นต้น

หลักการในการพัฒนาอัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว คือ เพิ่มความแข็งแรงและความอดทนให้กับกล้ามเนื้อ เพิ่มความคล่องแคล่วและความยืดหยุ่นให้กับร่างกาย และพัฒนาความเร็วในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า วิธีการพัฒนาอัจฉริยภาพด้านนี้ได้แก่ 
>> รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยทานให้ครบ 5 หมู่และไม่รับประทาน Junk Food
>> ฝึกหายใจให้ถูกหลักการเพื่อเพิ่มออกซิเจนสู่สมองของเรา โดยฝึกตามหลักโยคะหรือฝึกง่ายๆโดยให้หายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกยาวๆ
>> ฝึกการใช้ร่างกายทั้ง 2 ซีก ฝึกฝนการใช้มือข้างที่ไม่ถนัดในการเขียนหนังสือ หรือเล่นกีฬาและอาจทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้างเช่น Stack (เป็นกีฬาเรียงแก้วให้ได้เร็วที่สุด)
>> ฝึกการทำงานช่างแบบง่ายๆ เช่นตอกตะปู ถอนตะปู หรือเปลี่ยนหลอดไฟ
>> ฝึกงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนสูง เช่นงานหัตถกรรม งานเซรามิก งานเย็บปัก เป็นต้น
>> ฝึกเต้นเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย โดยมีหลายแบบเช่น เต้น cover เต้นแบบเชียร์ลีดเดอร์ เป็นต้น
>> ออกกำลังกาย โดยอาจจะออกกำลังกายง่ายๆเช่น เดิน วิ่ง ออกกำลังกายในฟิตเนสเช่น ลู่วิ่ง เครื่องปั่นจักรยาน ยกดรัมเบล หรือเล่นกีฬาเช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล กอล์ฟ หรือแบดมินตัน แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน

บุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ได้แก่ สตีเวน เจอร์ราร์ด (Steven Gerrard) นักฟุตบอลชื่อดังทีมชาติอังกฤษ และกัปตันทีมของ Liverpool, ไมเคิล แจ็คสัน (Michael Jackson) ราชาเพลงป๊อป (King of Pop) ชื่อดังท่าเต้นของเขามีความงดงามและได้รับการชื่นชมเป็นอย่างมาก และยูเซน โบลต์ (Usain Bolt) นักวิ่งชาวจาเมกาที่วิ่งได้เร็วที่สุดในโลก ทำสถิติวิ่ง 100 เมตรด้วยแวลาแค่ 9.69 วินาทีในการแข่งขีนกีฬาโอลิมปิก

อาชีพที่เหมาะสมกับคนที่มีอัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ได้แก่ นักเต้น นักกีฬา ศิลปิน ทหาร ตำรวจ เป็นต้น

Special Thank แนวคิด: หนังสืออัจฉริยะสร้างได้ ของ หนูดี วนิษา เรซ

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) : อัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร (Linguistics Intelligence)

อัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร (Linguistics Intelligence)

ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร (Linguistics Intelligence)
ทฤษฎีพหุปัญญา อัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร (Linguistics Intelligence)

ทุกคนบนโลกใบนี้มีอัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสารอยู่อย่างแน่นอน เนื่องจากทุกคนต้องใช้ภาษาสำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวัน อัจฉริยภาพด้านนี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ส่วนย่อยคือ อัจฉริยภาพด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน หากมีอัจฉริยภาพด้านนี้สูง แล้วจะส่งผลให้สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อสารได้หลายภาษา ทำให้มีคนชอบ ครูชื่นชม เจ้านายให้ความสนใจส่งผลให้ได้รับโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น และทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพสูงจากทักษะทั้ง 4 (ฟัง,พูด,อ่าน,เขียน) อัจฉริยภาพด้านนี้จึงนับว่าสำคัญเป็นอย่างมาก

บุคคลที่มีอัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสารสังเกตได้จาก การที่คนๆนั้นสามารถพูดได้หลายภาษา พูดได้น่าสนใจ สื่อสารใจความสำคัญตามความต้องการได้ ฟังแล้วจับใจความได้ดีแล้วนำมาสรุปได้ อ่านหนังสือแล้วสรุปมาเล่าให้ฟังได้ เขียนเรียงความหรือบทความได้น่าสนใจ มีความเข้าใจในโครงสร้างของภาษา ไวยากรณ์ และรากศัพท์ เป็นต้น

หลักการในการพัฒนาอัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสารคือ สามารถ ฟัง พูด อ่าน เขียน ได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายๆภาษา วิธีการพัฒนาอัจฉริยภาพด้านนี้ได้แก่ 
>> ฝึกการออกเสียงตามสำเนียงของภาษาต่างๆจากการดูหนัง หรือฟังเพลงของภาษานั้นๆ 
>> ฝึกเขียนบทความ บทวิเคราะห์ให้ได้ใจความที่ดี น่าสนใจ ใช้ภาษาได้ถูกต้องตามหลักภาษานั้นๆ
>> ฝึกพูดหน้ากระจก อาจเป็นการพูดสุนทรพจน์ การบรรยาย หรือ การสัมมนาก็ได้ โดยต้องดึงความสนใจจากผู้ฟังได้และต้องได้ใจความที่เราต้องการสื่อครบถ้วน
>> อ่านหนังสือ หลายภาษา หลายประเภท โดยมีเทคนิคในการอ่านคือ อ่านโดยเปิดผ่านๆก่อน เพื่อให้สมองร่างโครงไว้ แล้วอ่านหัวข้อ จากนั้นจึงอ่านหัวข้อที่ตนเองยังไม่รู้ หรือ หัวข้อที่น่าสนใจ ถ้าอ่านหนังสือภาษาต่างประเทศไม่ควรใช้ Dictionary ควรฝึกเดาความหมายตามบริบทมากกว่า
>> ฝึกสรุปใจความจากการฟัง และ อาจลองพูดเลียนแบบผู้พูดเพื่อฝึกทักษะการพูดด้วย
>> ฝึกจดบันทึกข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพอาจลองใช้เป็น Mind mapping ของโทนี บูซาน (Tony Buzan) โดยจดเป็นเนื้อหาที่ได้จากการฟังหรืออ่าน 80% แล้วเติมเนื้อหาที่เราต่อยอดมา 20%
>> ฝึกพูดกับชาวต่างชาติด้วยภาษาเหล่านั้น เพื่อให้เราสามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้อย่างไหลลื่น และใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา

บุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านภาษาและการสื่อสาร ได้แก่ ทิโมธี โดเนอร์ (Timothy Doner) เด็กหนุ่มที่พูดได้ถึง 23 ภาษา , สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ผู้ที่มีคนหลงเสน่ห์การนำเสนอสินค้าของเขาเป้นจำนวนมาก และ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) นักเขียนชื่อดัง ผู้มีผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ไปทั่วโลกเช่น โรมีโอและจูเลียต (Romeo and Juliet) ฯลฯ

อาชีพที่เหมาะสมกับคนที่มีอัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสารสูงได้แก่ นักเขียน วิทยากร นักการเมือง ล่ามแปลภาษา โฆษก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ทนาย พิธีกร เป็นต้น

Special Thank แนวคิด: หนังสืออัจฉริยะสร้างได้ ของ หนูดี วนิษา เรซ

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) : อัจฉริยะ 9 ด้านของมนุษย์


ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) อัจฉริยะ 9 ด้านของมนุษย์
ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) อัจฉริยะ 9 ด้านของมนุษย์

ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) : อัจฉริยะ ด้านของมนุษย์ 


หากกล่าวคำว่า "อัจฉริยะ" หลายๆคนนึกถึงภาพของคนที่เรียนเก่ง สอบได้เกรด
4 ทุกวิชา เหรียญทองการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ หรือ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล แต่น้อยคนจะนึกถึง คนที่เล่นดนตรีได้ไพเราะ นักกีฬาฟุตบอลระดับโลก ชาวป่า-ชาวเขาที่รู้จักใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ หรือ คนที่พูดได้หลายภาษา ทั้งๆที่มนุษย์มีศักยภาพทางสมองที่สูงส่ง สิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการมาถึงจุดสูงสุด กลับถูกลดทอนความ "อัจฉริยะ" ให้เหลือแค่ด้านการเรียน

ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Dr.Howard Gardner) ได้เห็นถึงปัญหาข้อนี้ รวมถึงการพัฒนาของวงการวิทยาศาสตร์ที่สามารถดูการทำงานของสมอง การเดินทางของสารในสมอง ขณะที่มนุษย์ยังมีชีวิตได้ ส่งผลให้ ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ทำการวิจัย และสร้าง ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) ขึ้นมาได้

สมัยที่ ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ศึกษาเล่าเรียนชั้นประถมที่ รัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) ท่านเป็นคนที่เรียนเก่ง แต่ไม่มีความสามารถด้านกีฬา แล้วไปเห็นเด็กผิวดำเล่นบาสเกตบอลกันอย่างเก่งกาจ แล้วบังเกิดความคิดขึ้นว่าทำไมครูถึงชมเขาที่เรียนเก่งว่าเป็น "อัจฉริยะ" แต่กลับไม่ชอบเด็กผิวดำที่เล่นกีฬาเก่ง แต่เรียนไม่เก่งเลย ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ จึงเกิดข้อสงสัยว่าความ "อัจฉริยะ" ของมนุษย์มีอะไรบ้าง

ในปี คริสตศักราช 1983 ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ ได้เสนอทฤษฎีพหุปัญญาซึ่งกล่าวว่ามนุษย์มีความอัจฉริยะอยู่ 7 ประการและเพิ่มอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจธรรมชาติ (Naturalist Intelligence) ในปี 1997 แล้วท่านได้เขียนหนังสือที่ชื่อว่า Frames of Mind ซึ่งโด่งดังและได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ไปทั่วโลก สถาบันทางการศึกษาหลายแห่งได้พัฒนาหลักสูตรตามทฤษฎีพหุปัญญาของท่าน ปัจจุบันได้เพิ่มอัจฉริยภาพด้านการมองเห็นตัวเรา (Existential Intelligence) เป็นอัจฉริยภาพด้านที่ 9 และจะมีการศึกษาวิจัยเพิ่มอีกเรื่อยๆ

ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) กล่าวว่า มนุษย์มีอัจฉริยภาพอย่างน้อย 9 ด้าน แต่ละคนมีอัจฉริยภาพครบทั้ง 9 ด้าน แต่โดดเด่นแตกต่างกันไปตามพันธุกรรมและสภาพแวดล้อมที่ถูกเลี้ยงดูมา บางคนอาจมีอัจฉริยภาพครบทั้ง 9 ด้านเลยก็เป็นไปได้

อัจฉริยภาพทั้ง 9 ด้านประกอบด้วย
8)อัจฉริยภาพด้านดนตรีและจังหวะ (Musical Intelligence)
9)อัจฉริยภาพด้านการมองเห็นตัวเรา (Existential Intelligence)

ทุกๆท่านคงเห็นแล้วว่าสมองของมนุษย์มีความสามารถขนาดไหน เราจะกล่าวถึงรายละเอียดและวิธีฝึกอัจฉริยภาพด้านต่างๆตามทฤษฎีพหุปัญญาในบทถัดไป

Special Thank แนวคิด: howardgardner.com/multiple-intelligences/ เว็บไซต์ของดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ และ
หนังสืออัจฉริยะสร้างได้ ของ หนูดี วนิษา เรซ